19 ตุลาคม 2552
10 กันยายน 2552
มาว่ายน้ำกันเถอะ....
ขั้นตอนแรกสุดที่เริ่มหัด คือฝึกเกาะขอบสระตีขาให้เคยชิน แล้วค่อยยืดแขนออกจากขอบสระ จากการเกาะ ติดขอบสระตีขา มาเป็นเกาะขอบสระแล้วตีขาเหยียด อาจจะก้มหน้าจมลงน้ำแล้วเงยขึ้นมาหายใจ สลับบ้างก็ได้ ขั้นตอนนี้ จะทำให้เรา สามารถใช้ขาได้คล่องและเริ่มชินกับการลอยตัวตามยาว ตามผิวน้ำ โดยยังอาศัยมือ ช่วยจับพยุงไว้เล็กน้อย เมื่อคล่องดีแล้ว ข้ามไปขั้นที่สอง
ขั้นที่สอง เป็นการลอยตัวตีขาไปข้างหน้า เกาะโฟมตีขา โดยจะใช้มือเกาะแผ่นโฟม เหยียดแขน ออกแล้วตีขาโบกน้ำ เหมือนกับการเกาะขอบสระ และตีขา ให้ตัวลอยไปข้างหน้าเรื่อยๆ ฝึกการทรงตัว และใช้ ขา (โดยยังไม่ใช้แขน เพราะใหม่ๆ ใช้ทั้งขาและแขนพร้อมๆ กัน มันจะฝืนๆ) ถ้าเหยียดแขนห่างตัวแล้ว หน้ายังคอยจะจมน้ำ อาจจะงอแขนเอาโฟมมารองใต้อกก่อนในระยะแรกก็ได้ แล้ว เมื่อคล่องๆ ค่อยยืดแขนออกไป ระยะนี้ เมื่อคล่อง จะเห็นว่า เราเริ่มเคลื่อนไหวในน้ำได้ แล้ว แต่ยังต้องอาศัยโฟม ช่วยพยุงตัวเล็กน้อย
ขั้นตอนที่สาม เคลื่อนไหวในน้ำด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้โฟมแล้ว เราจะลอยตัวตีขาเหมือนเดิม โดยเหยียดแขนตรงไปข้างหน้า คว่ำหน้าจมน้ำ(ก่อนคว่ำลงไป หายใจเข้าให้สุดเต็มที่แล้วกลั้นไว้) ตัวเหยียดตรง แล้วตีขาเหมือนตอนเกาะโฟม ตัวจะพุ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ เหมือนการว่ายน้ำ แต่ไม่ใช้แขน และกลั้นหายไป จนสุดลมหายใจ ค่อยทิ้งตัวลงยืน ขึ้นมาหายใจ ทำไปเรื่อยๆ จะได้จังหวะการตีขา และเคลื่อนไหวตัว ที่ถ้าทำได้ดี ตัวจะพุ่งไปข้างหน้าได้ดีพอใช้โดยยังไม่ได้ใช้แขน
ขั้นตอนที่สี่ เริ่มใช้แขนช่วยในการว่ายน้ำ ก็เหมือนขั้นตอนที่สาม แต่แทนที่จะเหยียดแขนไปข้างหน้าเฉยๆ ก็เริ่มหัดใช้แขวนว่ายน้ำ(ท่าไหนก็ได้ที่ถนัดก่อน) จัดระเบียบแขน และ มือให้พอดี ตอนมือลงไปในน้ำก็ออกแรงดึงแหวกน้ำเข้ามาหาตัว) ว่ายจ้วงไปเรื่อยๆ ร่วมกับการตีขา หมดลมกลั้นหายใจ ก็ขึ้นมายืน หายใจ แล้วค่อยเริ่มใหม่ ขึ้นตอนนี้ จะเป็นการฝึกใช้มือร่วมกับ การตีขา เป็นการว่ายน้ำ ครบแล้ว พอไหว้ไปได้ระยะนึง การทำงาน มันจะประสานกันไปอัตโนมัติ แต่ยังคงว่ายไกลไม่ได้เพราะว่าเรายังอาศัยการกลั้นหายใจขณะว่าย
ขั้นตอนที่ห้า เริ่มฝึกหัดหายใจ ขณะว่ายน้ำ การหายใจ ขณะว่ายน้ำ ถ้าเป็นท่ามาตรฐาน เราก้มหน้าอยู่ในน้ำขณะว่ายกันตลอด จะเงยขึ้นมาเมื่อต้องการหายใจเท่านั้น โดยต้องคอยดูจังหวะการหายใจ โดยจะหันหน้าเอียงขึ้นด้านข้าง (ข้างใดข้างหนึ่งก็ได้เป็นระยะ) เพื่อหายใจเอาอากาศเข้าไป ให้เต็มที่ ก่อนจะหันหน้ากลับไปก้มลงมองพื้นสระว่ายต่อไป และต้องหายใจออกไปก่อนตั้งแต่ตอนอยู่ในน้ำ และเมื่อ แหงนหน้าขึ้นมา ก็สูดลมหายใจกลับเข้าไปเลย (จะได้มีเวลาหายใจเข้าได้นานขึ้น)
เมื่อว่ายได้และหายใจได้ดีแล้ว ต่อไปก็เป็นการฝึกหัดจัดท่าตัวเราตอนว่าย ทั้งแขน ขา และลำตัว เวลาว่ายอาจจะไม่ต้องตีขาถี่มาก แค่โบกขาเป็นจังหวะ แต่ใช้การว่ายแหวกน้ำด้วยมือ ไป จะไวกว่า มีคนบอกว่าการเคลื่อนไหวตัวของเราในน้ำ ให้นึกภาพว่า ไม่ใช่เราไปตะกุยน้ำ แต่เหมือนเราค่อยๆแหวกตัวแรกพริ้วไปในน้ำ เวลาว่ายแล้วนึกภาพตามไปว่ายยื่นแขนออกไปเอี้ยวตัวโบกขาให้เหมือนรู้สึกเราแทรกตัวเลื้อยไปในน้ำ
14 สิงหาคม 2552
10 สิงหาคม 2552
นวตกรรม web 2.0 - - YouTube

YouTube
คือเว็บ Video Sharing Web Sites คือเว็บไซต์ที่มีลักษณะเปิดให้ใครก็ได้นำคลิปวิดีโอที่ตนมีอยู่ไปฝากไว้ และสามารถนำฟังก์ชันต่างๆ ที่เว็บสร้างขึ้นมาไปช่วยในการเผยแพร่คลิปนั้นๆ ซึ่งปัจจุบันมีเว็บประเภทนี้มากมาย แต่ที่โด่งดังจนเป็นที่รู้จัก และทำให้คนทั่วโลกหันมาให้ความสนใจกับการสร้างคลิปวิดีโอสู่ที่สาธารณะ เราต้องยกเครดิตนี้ให้กับเว็บที่ชื่อว่า YouTube
YouTube เป็นเว็บไซต์สำหรับแลกเปลี่ยนวิดีโอที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ที่สำคัญคือไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆในการฝากวิดีโอ ทุกอย่างฟรี โดยในเว็บไซต์นี้ ผู้ใช้สามารถใส่วิดีโอเข้าไป หรือเปิดดูภาพวิดีโอที่มีอยู่ และแบ่งภาพวิดีโอเหล่านี้ให้คนอื่นดูได้ด้วย
ซึ่งเราสามารถนำเอาข้อดีจุดนี้มาใช้ในการศึกษาของเรา โดยการอัปโหลดคลิปวิดีโอขณะที่ตัวเองกำลังพูดหรือสอนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ซึ่งเรียกได้ว่านี่คือระบบ E-Learning ที่ใครๆ ก็สามารถเป็นอาจารย์ให้กับคนทั่วโลกได้ เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์และกล้องถ่ายวิดีโอค่ะ
การใช้สื่อรูปแบบนี้เป็นระบบเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางได้อย่าง ดี เนื่องจากผู้เรียนเป็นผู้เลือกและควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง พร้อมๆ กับมีความรู้สึกสนุกสนาน โดยสามารถสรุปประโยชน์ได้ดังนี้
• สนองต่อผู้เรียนทุกระดับ ทุกคน
• ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามต้องการ และเวลาที่ตนพอใจ
• กำหนดรูปแบบการนำเสนอที่ดีที่สุดของแต่ละหัวข้อ
• เนื้อหาการสอน มาจากครูและผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 1 คน ทำให้ได้เนื้อหาที่สมบูรณ์ หลากหลาย
• สร้างรูปแบบการเรียนแบบ "สร้างสรรค์" ผู้เรียนสามารถสร้างหัวข้อต่างๆ ประกอบการเรียนได้อิสระ สามารถกำหนดระดับความคิด ตามความถนัดของตนเอง
• ก่อให้เกิดกิจกรรมการแก้ปัญหาภายในกลุ่มได้
• สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ รูปแบบอื่น มาผสมร่วมได้ง่าย
นวตกรรม web 2.0 - - RSS

RSS หรือ Really Simple Syndication (RSS แต่ก่อนเรียกว่า RDF Site Summary ซึ่ง RDF ย่อมาจาก Resource Description Framework เป็น ประเภทหนึ่งของ web feeds มีรูปแบบข้อมูล XML ใช้กระจายข้อมูลที่มีการเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงบ่อยๆจากเว็บไซต์ (web syndication) และบล็อก
RSS จะช่วยคัดลอกข้อมูลในเว็บไซต์และ weblog ต่าง ๆ ที่สนับสนุน RSS Feeds โดย RSS Reader จะดึงข่าวมาอัตโนมัติ ชนิดที่เรียกว่า Real-Time จริง ๆ พอ Update ปุ๊บก็เห็นปั๊บเลยครับ เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัปเดทไม่เท่ากัน RSS จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข่าวสารอัปเดทใหม่ได้โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์ RSS ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นรูปแบบกลางในการบริหารข้อมูลทางธุรกิจ และมีการแข่งขันกันสูง โดยเฉพาะธุรกิจที่มี การแชร์ข้อมูล เช่น เว็บไซต์ข่าว เว็บล็อก ซึ่งจะมีการแสดงข้อมูลบนหน้าต่างพรีวิวแยกต่างหาก เพื่อให้ผู้ใช้ไม่สับสน รวมถึง สามารถสืบค้นข้อมูลได้
ตัวอย่างโปรแกรม RSS Reader ที่มีให้บริการ
โปรแกรม RSS Reader เป็น Stand Alone Application
Download ได้ที่ http://www.rssreader.com
โปรแกรม RSS Reader เป็น PHP Script
Download ได้ที่ http://www.naxza.com/lastRSS.zip
โปรแกรม RSS Bandit Reader
Download ได้ที่ http://www.rssbandit.com
โปรแกรม RSS Reader ตัวนี้ Feature ไม่เยอะ
Download ได้ที่ http://www.sharpreader.net
ข้อดีของ RSS
RSS ช่วยลดข้อจำกัดในการคัดลอกข้อมูลในเว็บไซต์ โดยเฉพาะกรณีการละเมิด ลิขสิทธิ์ขณะที่ผู้สร้างไม่ต้องเสียเวลาทำหน้าเพจแสดงข่าว ซึ่งต้องทำทุกครั้งเมื่อ ต้องการเพิ่มข่าว โดย RSS จะดึงข่าวมาอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์เป็น ศูนย์กลางมากขึ้น
จุดเด่นของ RSS คือ ผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องเข้าไปตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อดูว่ามีข้อมูล อัพเดทใหม่หรือไม่ ขณะที่เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัพเดท ไม่เท่ากัน บางครั้งผู้ใช้ยังอาจหลงลืมจนเข้าไปดูเนื้อหาอัพเดทใหม่บนเว็บไซต์ ไม่ครบถ้วน รูปแบบ RSS จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข่าวสารอัพเดทใหม่ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและ ฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์
วิธีใช้งาน
ใช้บริการจากเว็บไซต์ประเภท Web News Reader ซึ่งเว็บไซต์ประเภทนี้จะให้บริการเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์ส่วนบุคคล โดยมีส่วนที่ให้เราสามารถเพิ่มข่าว RSS Feed ต่างๆ ที่เราต้องการเข้าไปได้ เช่น My MSN Space, Bloglines, My Yahoo! เป็นต้น โดยการนำ Link ของหัวข้อข่าวที่เราสนใจไปติดที่เว็บไซต์ได้ทันที
ใช้เป็นโปรแกรมในการอ่านข่าวโดยตรง คือ RSS/News Aggregators หรือเรียกสั้นๆ ว่า RSS Readers เป็นโปรแกรมที่สามารถอ่านและดึงข้อมูลข่าวในรูปแบบ RSS Feeds ซึ่งกรณีนี้จำเป็นที่จะต้องติดตั้งโปรแกรมเพื่อใช้งานก่อน โปรแกรมที่นิยมใช้คือ RSS Reader, Sharp Reader, RSS Bandit เป็นต้น ซึ่งเมื่อมีข้อความใหม่เข้ามา จะมีการเตือนเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ บน system tray เราก็สามารถคลิกเข้าไปในหัวข้อที่เราสนใจได้ทันที
การใช้บริการผ่านมือถือก็จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมเพื่อใช้อ่านเหมือนกับการใช้บริการบนคอมพิวเตอร์ทั่วไป
7 สิงหาคม 2552
มารู้จัก Adobe AIR กัน

31 กรกฎาคม 2552
WoW!!! แหวนแปลงร่างเป็นหูฟังบลูทูธ
23 กรกฎาคม 2552
ความแตกต่างWeb 1.0 และ Web 2.0
ข้อ 2 Web 1.0 สร้างเรตติ้งแบบปากต่อปากได้ยาก เนื่องจากสื่อสารทางเดียวแต่ Web 2.0 สามารถสร้างปรากฏการณ์แบบปากต่อปากได้ดังไฟลามทุ่ง จากการแนะนำผ่าน Blog ส่วนตัว คุณอาจตัดสินใจซื้อครีมชนิดนั้นมาใช้เพราะคนที่ใช้แล้วดีมาเขียนบอกใน Blog หรือเลิกซื้อขนมปังยี่ห้อนั้นไปตลอดชีวิต เมื่อมีคนถ่ายภาพราขึ้นแฮมจากร้านนั้นมาลงให้ดู ซึ่งเป็นสิ่งที่ Web 1.0 ไม่อาจทำได้
ข้อ 3 Web 1.0 ให้ข้อมูลความรู้แบบตายตัว การเปลี่ยนแปลงแก้ไขขึ้นอยู่กับ Webmaster แต่ Web 2.0 สามารถต่อยอดข้อมูลต่างๆออกไปได้ไม่จำกัด และข้อมูลจะถูกตรวจสอบคัดกรองอยู่ตลอด ตัวอย่างเช่น Wikipedia ที่ใครก็สามารถเขียนในสิ่งที่ตนรู้ลงไปได้
Web 2.0 ยังก่อให้เกิดการตลาดแบบใหม่ สร้างงาน สร้างธุรกิจเงินล้านบนอินเตอร์เน็ต ก่อให้เกิดนักธุรกิจในโลกออนไลน์มากมาย
* แท้ที่จริงแล้ว web 2.0 มันก็อยู่ตรงหน้าของเราทุกวันนี่เอง
เทคโนโลยี Web 2.0 คืออะไร ?



